โครงงานคอมพิวตเตอร์


Hi5 Clocks by zalim-code.com

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

ที่มาวันคร

วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง” จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้

วันครู

วันครู
ความหมาย
ครู หมายถึงผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่
ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ

ประวัติความเป็นมา
วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูใน
ราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า"คุรุสภา" ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล
และให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็น
ในเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ จัดสวสัดิการให้แก่ครูและครอบครัว
ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู
ด้วยเหตุนี้ในทุกๆปี คุรุสภาจึงจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศ
แถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภา โดยมี
คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุม"สามัคคยาจารย์"
หอประชุมของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในระยะหลังจึงมาใช้หอประชุมของคุรุสภา
ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการ
อำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวปราศัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจาก
ผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่า"วันครู"ควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดา
ลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไป
ถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือ
ครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ
ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"
จากแนวความคิดนี้ กอรปกับคว่ทคอดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆที่ล้วนเรียกร้องให้มี"วันครู"
เพื่อให้เป็นการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่แประโยชน์ของชาติ
และประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มี
"วันครู" เพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอในหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณ
บูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู และเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอีนดีระหว่างครูกับประชาชน
ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคม ของทุกปีเป็น"วันครู"
โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็นวันครู
และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้
การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติ
เป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้ให้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ
หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบัน
ได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทใหญ่ดังนี้
1.กิจกรรมทางศาสนา
2.พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
3.กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู สา่วนมากจะเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริง
ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้กำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภา โดยมี
คณะกรรมการจัดงานวันครูซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด
สำหรับส่วนภูมิภาคให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกันกับส่วนกลาง
จะรวมกันจัดที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้
รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง(หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ประธานอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์
และประชาชนร่วมกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 1,000 รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธี
ในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรี
จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ประธานฝ่ายสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงาน
ต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครู"อาวุโส"นอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึก
ถึงพระคุณบูรพาจารย์ ดังนี้

ปาเจราจริยา โหนติ คุณุตตรานุสาสกา
(วสันตดิลกฉันท์) ประพันธ์ โดยพระวรเวทย์พิสิฐ(วรเวทย์ ศิวะศรียานนท์)

ข้าขอประนมกรกระพุ่ม อภิวาทนาการ
กราบคุณอดุลคุรุประทาน หิตเทิดทวีสรร
สิ่งสมอุดมคติประพฤติ นรยึดประคองธรรม์
ครูชี้วิถีทุษอนันต์ อนุสาสน์ประภาษสอน
ให้เรืองและเปรื่องปริวิชาน นะตระการสถาพร
ท่านแจ้งแสดงนิติบวร ดนุยลอุบลสาร
โอบเอื้อและเจือคุณวิจิตร ทะนุศิษย์นิรันดร์กาล
ไป่เบื่อก็เพื่อดรุณชาญ ลุฉลาดประสาทสรรพ์
บาปบุญก็สุนทรแถลง ธุระแจงประจักษ์แจ้งครัน
เพื่อศิษย์สฤษดิ์คติจรัล มนเทิดผดุงธรรม
ปวงข้าประดานิกรศิษย์ (ษ)ยะคิดระลึกคำ
ด้วยสัตย์สะพัดกมลนำ อนุสรณ์เผดียงคุณ
โปรดอวยสุพิธพรเอนก อดิเรกเพราะแรงบุญ
ส่งเสริมเฉลิมพหุลสุน ทรศิษย์เสมอเทอญ ฯ

ปัญญาวุฒิกเรเตเต ทินโนวาเท นมามิหัง
จากนั้นประธานจัดงานวันครู จะเชิญผู้ร่วมประชุมยืนสงบนิ่ง 1 นาที เพื่อระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว
ครูอาวุโสประจำการนำผู้เข้าร่วมประชุมกล่าวคำปฏิญาณดังนี้
ข้อ 1.ข้าฯจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู
ข้อ 2.ข้าฯจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
ข้อ 3.ข้าฯจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
จบแล้วพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา นายกรัฐมนตรีมอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอกและใน
ประจำการสุดท้ายกล่าวคำปราศัยและให้โอวาทแก่ครูที่มาประชุม
จรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู
1.เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
2.ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น
3.ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตนให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้ง
หน้าที่การงานไม่ได้
4.รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใดๆอันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
5.ถือปฏิบัติตามกฎระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
6.ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริต
หรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ
7.ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการโดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำ
ผลงานของผู้อื่นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน
8.ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรม ไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง
หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
9.สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและสถานศึกษา
10.รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหน้าที่การงาน
.............................................



พระราชดำรัส

"ถ้าครูไม่ห่วงประโยชน์ที่ควรจะห่วง หันไปห่วงอำนาจ ห่วงตำแหน่ง ห่วงสิทธิ์ และห่วงรายได้กันมากเข้าๆ
แล้วจะเอาจิตใจที่ไหนมาห่วงความรู้ ความดี ความเจริญของเด็ก ความห่วงใยในสิ่งเหล่านั้นก็จะค่อยๆบั่นทอนทำลาย
ความเป็นครูไปจนหมดสิ้นจะไม่มีอะไรดีเหลือไว้ พอที่ตัวเองจะภาคภูมิใจหรือผูกใจใครไว้ได้ ความเป็นครูก็จะไม่มี
ี ค่าเหลืออยู่ให้เป็นที่ เคารพบูชาอีกต่อไป"


พระราชทานแก่ครูอาวุโสในโอกาสเข้าเฝ้าฯ
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2521

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติลอยกระทง

ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีการทำกระทงขนาดใหญ่และสวยงาม ดังพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของเจ้าพระยาทิพาราชวงศ์ กล่าวไว้ว่า "ครั้นมาถึงเดือน 12 ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ แรมค่ำหนึ่งพิธีจองเปรียงนั้น เดิมได้โปรดให้ขอแรง พระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน และข้าราชการที่มีกำลังพาหนะมาทำกระทงใหญ่ ผู้ถูกเกณฑ์ต่อเป็นถังบ้าง ทำเป็นแพหยวกบ้าง กว้าง 8 ศอกบ้าง 9 ศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอด 10 ศอก 11 ศอก ทำประกวดประขันกันต่างๆ ทำอย่างเขาพระสุเมรุทวีปทั้ง 4 บ้าง และทำเป็นกระจาดชั้นๆบ้าง วิจิตรไปด้วยเครื่องสด คนทำก็นับร้อย คิดในการลงทุนทำกระทงทั้งค่าเลี้ยงคนและพระช่าง เบ็ดเสร็จก็ถึง 20 ชั่งบ้าง ย่อมกว่า 20 ชั่งบ้าง" ปัจจุบันประเพณีลอยกระทง มีการจัดงานกันแทบทุกจังหวัด ถือเป็นงานประจำปีที่สำคัญ โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่มีการจัดขบวนแห่กระทงใหญ่ กระทงเล็ก มีการประกวดกระทง และประกวดธิดางามประจำกระทงด้วย ส่วนการลอยโคม ชาวบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสานยังนิยมทำกัน ชาวบ้านจะนำกระดาษ มาทำเป็นโคมขนาดใหญ่สีต่างๆ ถ้าลอยตอนกลางวัน จะทำให้โคมลอยโดยใช้ควันไฟ ถ้าเป็นเวลากลางคืน ก็จะใช้คบจุดที่ปากโคม ให้ควันพุ่งเข้าในโคม ทำให้ลอยไปตามกระแสลมหนาว เวลากลประเพณีลอยกระทงนั้นมีมาแต่โบราณ โดยมีคติความเชื่อหลายอย่าง เช่น เชื่อว่าเป็นการบูชาและขอขมาแม่พระคงคา เป็นการสะเดาะเคราะห์ เป็นการบูชาพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์ หรือเป็นการบูชารอยพระพุทธบาท เป็นต้น การลอยกระทงนิยมทำกันในวันเพ็ญ เดือน 12 ของทุก ๆ ปี อันเป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำลำคลองขึ้นสูงและอากาศเริ่มเย็นลง ตามพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน และตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ได้กล่าวว่า นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมเอกในพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย เป็นผู้ริเริ่มประดิษฐ์กระทงสำหรับลอยประทีปเป็นรูปดอกบัวบานขึ้น ซึ่งคนทั่วไปนิยมทำตามสืบต่อมา นอกจากนั้นในศิลาจารึกหลักที่ 1 ยังได้กล่าวถึง งานเผาเทียน เล่นไฟ ของกรุงสุโขทัยไว้ด้วยว่า เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้ผู้รู้ทั้งหลายสันนิษฐานต้องตรงกันว่า งานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โครงการพัฒนาความสะอาดในห้องน้ำ

จุดมุ่งหมาย
1.เพื่อไฃให้ห้องน้ำมีความสะอาดมากขึ้น
2.เพื่อให้ห้องน้ำไม่มีกลิ่นเหม็น
3. เพื่อให้ห้องน้ำน่าเข้ายิ่งขึ้น

จุดอ่อน/ปัญหา
1.ห้องน้ำเหม็น
2.มีคราบสิ่งสกปรก
3.ห้องน้ำชำรุด

จุดเด่น
1.เน้นความสะอาดในห้องน้ำ
2.ห้องน้ำมีความเพียงพอต่อผู้เข้าใช้
3.มีป้ายให้ทำตามเพื่อนความสะอาดในห้องน้ำ

แนวทางการดำเนินการ
1.ทำความสะอาดให้บ่อยครั้งยิ่งขึ้น
2.ซ่อมส่วนที่ชำรุดในห้องน้ำให้มีคุณภาพมาขึเน
3.ให้ช่วยกันทำความสะอาดก่อนเข้าและออกห้องน้ำสม่ำเสมอ

ห้องน้ำ

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติโรงเรียนเทศบาล ๒ (วัดช่องลม)

โรงเรียนเทศบาล๒(วัดช่องลม) เป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในวัดช่องลม เลขที่ 629/1 ถนนไกลเพชร ตำบล หน้าเมืองอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เดิมเป็นโรงเรียนประชาชนบาลเปิดทำการสอนเมื่อวันที่10เมษายน 2467 ใช้ศาลาการเปรียญเป็นสถานศึกษา เปิดเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่1-ชั้นประถมศึกษาปีที่6 มีครู8คนนักเรียน 90คน
ที่ตั้ง/ขนาด
โรงเรียนเทศบาล ๒ (วัดช่องลม) ตั้งอยู่เลขที่ 629/1 ถนนไกลเพชร ตำบลหน้าเมืองอำเภอเมืองราชบุรีหมายเลขโทรศพท์ 032337265 ทิศเหนือติดที่วัดช่องลม ทิศใต้ติดถนนไกลเพชร ทิศตะวันออกติดวัดช่องลม ทิศตะวันตกติดชุมชน จัดเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีอาคารเรียน5หลัง ในพื่นที่3ไร่ 1งาน23 ตารางวา เปิดทำการสอนระดับชั้นประถมวัย-มัธยมปีที่3
สภาพชุมชน
โรงเรียนตั้งอยู่ในบริเวณชุมชน มีสถานที่ราชกาล ตลาดและโรงงานอุส่าหกรรม(โรงงานปั้นโอ่ง)
ผู้ปหครองนักเรียนส่วยใหญ่มีอาชีพรับจ้าง กรรมกรในโรงโอ่ง ขับขี่สามล้อ ค้าขายรถเข็น รับจ้างก่อสร้าง
เก็บกระดาษขาย หาเช้ากินค่ำ เป็นลูกจ้างรายวัน ให้ลูกอยู่กับ ปู่ ย่า ตา ยาย หรืออยู่ตามลำพังกับพี่น้อง บางครอบครัวไปรับจ้างทำงานต่างจังหวัด ครอบครัวขาดความรัก เด็กๆ ต้องช่วยเหลือตัวเอง ขาดเรียนบ่อย และสุขภาพไม่แข็งแรง เพราะอยุ่ในแหล่งเสื่อมโทรมของชุมชน
วัดช่องลม เป็นพระอารามหลวง พระครูโสภณ ปัญญาวัฒน์ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส มีพระสงฆ์ ประมาณ 30-40รูป ส่วนที่เป็นวัตถุโบราณวัตถุ คือ หลวงพ่อแก่นจันทร์ รอบๆ วัดมีจำนวนครัวเรือนประมาณ 50หลังคา จำนวนประชากรประมาณ200 คน อาชีพรับจ้าง ค้าขาย รายได้เดือนละประมาณ5000-8000บาท
ข้อมูลพื้นฐาน เป็นโรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองราชบุรี สำนักประสานและพัฒนาการจัด การศึกษาท้องถิ่นกระทรวงมหาดไทยกลุ่มโรงเรียนเทศบาล ภาคกลาง เขตการศึกษาท้องถิ่นที่5
ปรัญญา ประพฤติดี มีวิชา พัฒนาคุณภาพชีวิต
อุดมการณ์ พัฒนาผู้เรียน ดี เก่ง มีความสุข รักประเทศชาติ
คติพจน์ สมัคคี มีวินัย ใจซื่อสัตย์ ประหยัด อดทน คนขยัน กตัญญู
คำขวัญ วินัยดี มีวิชา กีฬาเด่น เป็นโรงเรียนของชุมชน
อักษรย่อ ท.๒
สีประจำโรงเรียน น้ำตาล-เหลือง
ดอกไม้ประจำโรงเรียน ดอกกล้วยไม้
เกียรติคุณโรงเรียน
☼ ปีการศึกษา 2540 โล่รางวัลสถานศึกษาที่จัดจริยธรรมดีเด่น จากกระทรวงศึกษาธิการ
☼ ปีการศึกษา 2541 รางวัลดีเด่นระดับประเทศจากการประกวดเล่านิทาน เด็กกล้ากับตาหมีพลัสรายการโทรทัศน์บ้านน้อยซอยเก้า สถานนีโทรทัศน์ช่อง 9
☼ ปีการศึกษา 2542 รางวัลโล่พระราชทาน ชนัเลิศ ชนะเลิศการแข่งขันเล่านิทานเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี
☼ ปีการศึกษา 2543 รางวัลเหริยญทอง สื่อการเรียนระดับอนุบาล เขตการศึกษา 5รางวัลชนะเลิศ การแข่งขันฟุตบอล กีฬาโรงเรียน เทศบาลและเมือง พัทยา ครั้งที่ 16ระดับกลาง รางวัลชนะเลิศ ประกวดการประดิษฐ์กระทงประเภทสวยงาม
☼ ปีการศึกษา 2544 รางวัลชนะเลิศ ประกวดโรงอาหารดีเด่น จากเทศบาลเมืองราชบุรี
☼ ปีการศึกษา 2545 รางวัลเหรียญทองการประกวดสื่ออนุบาล เขตการศึกษา 5 เกียติบัตรโรงอาหารได้มาตรฐานระดับ " ดีมาก" จากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เกียรติบัติ สถานประกอบการที่ได้รับการรับรองดำเนินงานตาม แนวทางที่ดีด้านการป้องกันและมลพิษ จากกลมควบคุม มลพิษและสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย โล่ประกาศ เกียรติคุณ โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพดีเด่นระดับทอง จังหวัดราชบุรี
☼ ปีการศึกษา 2546 โล่ประกาศเกียรติคุณ โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพดีเด่น ระดับทอง จังหวัดราชบุรี
☼ ปีการศึกษา 2547 โล่ประกาศเกียรติคุณ โรงเรียนส่งเสริม สุขภาพดีเด่น ระดับทอง จังหวัดราชบุรี
☼ ปีการศึกษา 2548 โล่ประกาศเกียรติคุณ โรงเรียนส่งเสริม สุขภาพดีเด่น ระดับทอง จังหวัดราชบุรี ชนะเลิศประกวดสวดมนต์ทำนองศรพรรณยะจังหวัดนนทบุรีชนะเลิศตอบปัญหาภาคกลางจังหวัดนนทบุรี ชนะเลิศกีฑาชายหญิงจังหวัดราชบุรี ชนะเลิศประกวดกระมงประเภทสวยงาม
☼ ปีการศึกษา 2549 ได้รางวัลชนะเลิศกีฑาชายอายุ13ปีระดับประเทศจังหวัดสุราษธานีรางวัลชนะเลิสประกวดพอลัมนักเขียนน้อยจากหนังสือเพื่อนรักระดับประเทศได้รับเหรียญทอง ทางวิชาการชั้นป.3เขตการศึกษาท้องถิ้นที่5 เทศบาลเมือง หัวหิน รางวัลชนะเลิศเหรียญทองยอกเยี่ยมเกะสละผลไม้ช่วงชั้นที่ 5 เขตการศึกษา ท้องถิ่นที่5 เทศบาลเมืองหัวหิน รางวัลชนะเลิศเหรียญทองยอดเยียมเขียนบรรยายภาพภาษาอังกฤษช่วงชั้นที่ 3 เขตการศึกษาท้องถิ่นที่5 เทศบาลเมืองหัวหิน ผ่านการประเมินโครงการ โรงเรียนส่งเสริมคุณภาพ และเด็กไทยทำได้รางวัลรองชนะเลิศระดับ 2 โครงการธนาคารขยะระดับภาคกลางได้รับรางวัลชนะเลิศประดิษฐ์ ดอกไม้สด ระดับจังหวัด

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โครงงานคอมพิวเตอร์

โครงงาน หมายถึง กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้าทดลองและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัดและความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาตร์หรือกระบวนการใดๆ ที่สามารถนำมาใช้ ศึกษาหาคำตอบเรื่องนั้นๆ โดยมีครูผู้สอน คอยให้คำปรึกษาแนะนำแก่นักเรียนอย่างใกล้ชิด
ประเภทของโครงงาน
1.โครงงานประเภทสำรวจ เป็นผลงานประเภทเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อหาสาเหตุของปัญหาหรือสำรวจความคิดเห็น
2.โครงงานประเภททดลอง เป็นโครงงานประเภทเก็บรวบรวมข้อมุลเพื่อหาสาเหตุของปัญหาหรือสำรวจความคิดเห็นเป็นไปตามที่ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่
3.โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นโครงงานที่ประยุคต์หลักการทางวิทยาศาสตร์ เข้าสู่กระบวนกรปฏิบัติโดยอาศัยเครื่องมือวัสดุอุปกรณ์เพื่อประดิษฐ์ชินงาน
4.โครงงานประเภททฤษฏี เป็นโครงงานที่มีลักษณะเป็นการหาความรู้ใหม่โดยการรวบรวมข้อมูลและนำมาวิเคราะห์จากสถิติแล้วอภิปราย
ลักษณะสำคัญของคนงาน
1. เป็นเรื่องที่นักเรียนสนใจต้องการหาคำตอบ
2. เป็นการเรียนรู้ที่มีกระบวนการมีระบบ
3. เป็นการบูรณาการการเรียนรู้
4. นักเรียนได้ใช้ความสามารถและทักษะในหลายๆๆด้าน
5. มีความสอดคล้องกับชีวิตจริง
6. มีการศึกษาด้วยวิธีการและแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย
7. เป็นการสะแวงหาความรู้ด้วยตัวเอง
8. มีการนำเสนอข้อมูลโครงงานที่เหมาะสม
9. สิ่งที่ค้นพบสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
กิจกรรมที่จัดว่าเป็นโครงงาน
1. เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์และเครื่องคอมพิวเตอร์
2.นักเรียนเป็นผู้ริเริ่มและเลือกเรื่องที่จะศึกษาค้นคว้าและพัฒนา
3.เก็บรวบรวมหรือประดิษฐ์คิดค้นด้วยตนเองตามความสนใจและระดับความรู้และความสามารถ
4.นักเรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษาสรุปและนำเสนอผลงานการศึกษษด้วยตนเองโดยมีครูผู้สอนเป็นที่ปรึกษา
แนวทางการเขียนโครงงาน
1.ชื่อเรื่อง ( ระบุชื่อโครงงานที่ชัดเจนกระทัดลัดเฉพาะเจาะจงว่าจะทำอะไรศึกษาอะไร)
2.ชื่อผู้ทำโครงงาน ( ระบุชื่อนามสกุลนักเรียนระดับชั้นโรงเรียนของผู้จัดทำโครงงาน )
3. ชื่อครูที่ปรึกษา ( ระบุชื่อครู ที่ให้คำปรึกาคำแนะนำในการทำโครงงาน )
4. บทคัดย่อ ( บอกเค้าโครงของงานเรื่องย่อๆประกอบด้วยเรื่อง / และวัตถุประสงค์ / วิธีการศึกษาและสรุปผล)
5.กิจติกรรมประกาศ ( ระบุคำกล่าวแสดงความขอบคุณบุคคลหรือหน่วยงานที่ได้ให้ความช่วยเหลือจนงานสำเร็จ)
6. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน ( จะอธิบายว่าโครงานนี้มีสาเหตุสำคัญมาจากอะไรดีอย่างไรทำไมจึงต้องทำ)
7. สมมติฐานของการศึกษา ( เป็นการคาดคะเน คำตอบไว้ร่วงหน้า)
8. วิธีการดำเนินการ (ระบุระยะเวลาการดำเนินงานขั้นตอนการปฏิบัติความรับผิดชอบการจัดรูปแบบการเก็บข้อมูลขั้นตอนการดำเนินการเป็นอย่างไร)
9. สรุปการศึกษา (ระบุความรู้ทักษะประสปการสิ่งที่ได้รับความแปลกใหม่ความคิดนิเริ่มสร้างสันผลงานที่ตรงตามจุดมุ่งหมายผลการศึกษาค้นคว้าที่ได้รับ)
10. อภิปราย/ประโยชน์/ข้อเสนอแนะ (ระบุถึงผลที่ได้รับประโยชน์จากการศึกษาค้นคว้าทั้งนี้และเสนอแนะการทำโครงงาน)
11.เอกสารอ้างอิง ( ระบุหนังสือเอกสารที่ใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้ารวมทั้งระบุชื่อบุคคลให้ข้อมูลการศึกษาค้นคว้า)